วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การวางไข่ของปลา

  ถ้าหากคัดปลาได้ดี คือ ปลามีไข่แก่และน้ำเชื้อดี ปลาจะผสมพันธุ์วางไข่ตอนรุ่งเช้าของวันถัดไป หากปลายังไม่วางไข่จะปล่อยพ่อแม่ปลาไว้อีก 1 คืน แต่ถ้าเช้าวันถัดไปปลาก็ยังไม่วางไข่  แสดงว่าผู้เพาะคัดปลาไม่ถูกต้อง คือปลาเพศเมียที่คัดมาเพาะมีรังไข่ยังไม่แก่จัดพอที่จะวางไข่ได้ จะต้องปล่อยพ่อแม่ปลาที่คัดมาเพาะกลับคืนลงบ่อเลี้ยง แต่ถ้าปลาวางไข่จะสังเกตได้ว่าน้ำในบ่อเพาะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป โดยมักจะเกิดเมือกเป็นฟองตามผิวน้ำและรัง เมื่อพิจารณาที่รังจะเห็นว่ามีไข่ปลาทอง มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆสีเหลืองอ่อนค่อนข้างใสเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 มิลลิเมตร ติดอยู่ตามเส้นเชือกภายในรัง เม็ดไข่ที่ดูใสนี้แสดงว่าเป็นไข่ที่ได้รับการผสมหรือไข่ดี และจะมีเม็ดไข่ที่สีขุ่นขาวซึ่งเป็นไข่ที่ไม่ได้รับการผสมหรือเป็นไข่เสีย
.
ภาพที่ 26  แสดงลักษณะไข่ปลาทองที่ติดอยู่ที่รากผักตบชวา      
                                                          ไข่ดีจะใส ส่วนไข่เสียจะสีขุ่นขาว
                การศึกษาความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองทำได้ไม่ยากนัก ผู้เลี้ยงปลาโดยทั่วไปจะสามารถแยกเพศปลาทองได้ ผู้ที่ต้องการดำเนินการเพาะพันธุ์ปลาทอง หากเข้าใจวิธีการแยกเพศปลาทองเป็นอย่างดี ก็จะช่วยให้เลือกซื้อหรือจัดเตรียมปลาทองเพศผู้และเพศเมียตามจำนวนที่ต้องการได้
                ความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองนั้น ถ้าจะดูจากลักษณะภายนอกของลำตัวแล้วจะไม่พบความแตกต่างกัน   การแยกเพศจะทำได้ก็ต่อเมื่อปลาสมบูรณ์เพศ คือ เป็นปลาโตเต็มวัยแล้ว ซึ่งต้องเลี้ยงไว้ประมาณ 6 - 8 เดือน   เมื่อปลาสมบูรณ์เพศแล้วปลาเพศผู้จะเกิด ตุ่มสิว (Pearl Organ หรือ Nuptial Tubercles) ซึ่งเป็นตุ่มหรือจุดเล็กๆสีขาว เกิดขึ้นบริเวณก้านครีบอันแรกของครีบอก และบริเวณกระพุ้งแก้ม  ซึ่งถ้าสังเกตุดีๆจะพอเห็นได้และมักจะเกิดเด่นชัดเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ของปลาทอง แต่ในช่วงนอกฤดูกาลผสมพันธุ์  เช่นในฤดูหนาว หรือปลาไม่มีความพร้อมทางเพศ   ตุ่มสิวนี้จะมีขนาดเล็กสังเกตุได้ยาก แต่ก็สามารถแยกเพศได้โดยการใช้มือลูบเบาๆที่ครีบอกถ้าเป็นปลาทองเพศผู้จะรู้สึกสากมือเนื่องจากมีตุ่มสิวดังกล่าว แต่ถ้าเป็นปลาเพศเมียจะรู้สึกว่าครีบอกนั้นจะลื่นนอกจากนั้นถ้าปลามีความพร้อมในการผลมพันธุ์ คือปลาเพศเมียมีไข่แก่ และปลาเพศผู้มีน้ำเชื้อสมบูรณ์ ถ้าจับที่บริเวณท้องของเพศเมียจะรู้สึกว่าค่อนข้างนิ่ม และที่ช่องเพศจะขยายตัวนูนสูงขึ้น ส่วนปลาเพศผู้ถ้าลองรีดที่บริเวณท้องลงไปทางช่องเพศ จะเห็นว่ามีน้ำเชื้อซึ่งเป็นสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมไหลออกมาเล็กน้อยได้
.
          
 ภาพที่ 21  แสดงบริเวณก้านครีบอันแรกที่จะเกิดตุ่มสิวในปลาทองเพศผู้        
                                       ที่มา : Aquariacentral.com (2010)   

สีปลาทอง

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับปลาทอง

   
สภาวะแวดล้อม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงสว่างมีอิทธิพลต่อสีของปลาทองมากที่สุด ปลาทองที่เลี้ยงในที่มีแสงสลัว อย่างเช่นเลี้ยงในบ่อลึก ในแม่น้ำ เป็นต้น สีจะซีดจางตรงกันข้ามกับปลาทองที่เลี้ยงในที่มีแสงสว่างจ้า สีจะเข้มและสดใส
   สีปลาทองเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดสี 2 หรือ 3 ชนิด ได้แก่
   สีดำ เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดสี เมลาโนฟอร์ 
(Melanophores) 
   สีเหลือง เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดสี แซนโธฟอร์  (Zanthophores) 
   สีแดง เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดสี อีริโธฟอร์ (Erythophores) บางตำราว่าเหมือนกับ แซนโธฟอร์
   การมีหรือขาดเซลล์เม็ดเลือดสีในปริมาณแตกต่างกัน รวมทั้งองค์ประกอบทางเคมี ตลอดจนตำแหน่งของเซลล์เม็ดสีในตัวปลา คือ ปัจจัยทำให้ปลาทองมีสีต่าง ๆ
   สีทอง ปลาทองป่า หรือปลาทองตามธรรมชาติจะมีเซลล์เม็ดเลือดสีเพียงแค่ม 2 ชนิด คือ  เมลาโนฟอร์  (ดำ)  แซนโธเฟอร์ (เหลือง) เมื่อรวมกับสารประกอบสีเงินที่มีชื่อว่า กวานีน  
(guanine)  ในชั้นของผิวหนังทำให้ปลาทองป่ามีสีเทาอมเงิน เมื่อเกิดการกลายพันธุ์หรือสีส้ม หรือ สีเหลือง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและปริมาณของเซลล์เม็ดสี  แซ่นโฟอร์  เหลือง
   สีแดง  ปลาทองสีแดงเป็นปลาที่มีเซลล์เม็ดสี (แดง)  จำนวนมาก
   สีขาว  ปลาทองสีขาวเป็นปลาที่ไม่มีเซลล์เม็ดเลือดสีอยู่เลย
   สีทองแดงหรือสีนาก สัดส่วนการผสมที่ไม่เท่ากันของเซลล์เม็ดสีเมลาโนฟอร์ (ดำ)  กับ แซนโธฟอร์ (เหลือง) ทำให้เกิดโทนสีหลายโทน ตั้งแต่สีทองแดง สีเหล็ก ไปจนถึงสีน้ำตาล
   สีน้ำเงิน ปลาทองที่มีสีมุก 
(nacreous/matt fish)  ถ้าเซลล์เม็ดเลือดสี เมลาโนฟอร์ (ดำ) มีจำนวนน้อย และอยู่ในชั้นของผิวหนังค่อนข้างลึก รวมทั้งเซลล์เม็ดสีแซนโธฟอร์ (เหลือง)  ขาดหายไป สีของปลาที่มองเห็นจะออกไปทางสีน้ำเงิน ซึ่งถ้าจะว่าไป สีน้ำเงินเมทัลลิก บลู (metallic blue)  จริงๆ แล้วก็คือสีเทา  (grey)  นั้นเอง
   สีดำ ปลาทองที่มีสีดำจะมี่เซลล์เม็ดสี เมลาโนเฟอร์ (ดำ) จำนวนมากและเรียงอยู่ที่ชั้นใกล้ผิวหนังของตัวปลา
   ความแตกต่างในเรื่องสีของปลาทอง นอกจากจะขึ้นอยู่กับปริมาณของเซลล์เม็ดสี 
(pigment cell) แล้ว ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับสารประกอบสีเงินที่เรียกว่า "กวานีน"(guanine) ซึ่งอยู่ในชั้นผิวหนังใต้เกล็ดปลาปกติเกล็ดปลาจะมีลักษณะโปร่งใส (transparent) ถ้าปลาตัวไหนมีสารกวานีน ในชั้นผิวหนังจำนวนมาก เกล็ดปลาก็จะเห็นเป็นสีเงินสะท้อนแสงเป็นแวววาว ถ้ามี
สารกวานีนจำนวนน้อย เกล็ดปลาจะเห็นเป็นสีมุกจางๆ  
(nacreous)  
แต่ถ้าขาดสารกวานีน เกล็ดปลาจะมองเห็นเป็นสีมุกทึบ

โรคของปลาทองและวิธีการรักษา

ต่อเนื่องจากคราวที่แล้ว หลังจากที่เรารู้วิธีเลือกปลาทองแล้ว เราควรจะรู้ลักษณะ อาการแต่ละโรคของเจ้าสัตว์เลี้ยงของเราด้วย เพื่อจะได้ให้เขาอยู่กับเราได้นาน ๆ
โรคของปลาทองและวิธีการรักษา
โรคหนอนสมอ (Anchor worms)
อาการ : หนอนสมอจะมีขนาดความยาว 0.6-1 เซนติเมตร หนอนสมอจะใช้ส่วนหัวฝัง
เข้าไปในตัวปลาและยื่นส่วนหางออกมาทำให้เห็นเหมือนมีเส้นด้ายเกาะติดอยู่ที่ตัวปลา (ภาพที่ 46)
ถ้าดึงออก ส่วนที่เป็นสมอมักจะขาดติดอยู่ใต้ผิวหนังทำให้เกิดแผล เป็นทางให้แบคทีเรียเข้าสู่ตัวปลา
ได้ ปลาที่พบหนอนสมอจะมีอาการซึมไม่กินอาหาร ว่ายถูตัวกับขอบตู้หรือบ่อ และมีรอยแดงช้ำเป็นจ้ำ
ตามตัว เนื่องจากปลาระคายเคืองเป็นอย่างมาก จะเอาตัวถูข้างบ่อ
การรักษา : แช่ปลาในสารละลาย ดิพเทอเร็กซ์ 0.25-0.5 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่ตลอดไป และแช่
ซ้ำทุก 7 วัน รวมระยะเวลารักษา 4 ครั้งหรือเวลารักษา 1 เดือน
โรคเห็บ (Fish lice) Argulus sp.
อาการ : เห็บมีลักษณะกลมแบบคล้ายรูปจาน ขนาดยาว 3 - 5 มิลลิเมตร มีขา 8 ขา
แต่ละขายังแยกเป็นขาละ 2 คู่ (ภาพที่ 47) ปลาที่มีเห็บเกาะอยู่จะว่ายถูตัวกับข้างบ่อ เพื่อให้เห็บหลุด
เกล็ดปลาจะหลุดเป็นแผล ซึ่งทำความเสียหายมากเนื่องจากปรสิตนี้สามารถขยายพันธุ์เร็ว
การรักษา : แช่ปลาที่มีเห็บในสารละลาย ดิพเทอเร็กซ์ในอัตราส่วน 0.25-0.5 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร
แช่ตลอดไปและแช่ซ้ำทุก 7 วันต่อครั้ง รวมระยะเวลารักษา 4 ครั้ง หรือเวลารักษา 1 เดือน
โรคจุดขาวหรืออิ๊ค (White spot "Ich")
อาการ : เกิดจากโปรโตซัวขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเป็นรูปไข่ Ichthyophthirius multifilis
โดยจะฝังอยู่ที่ผิวและเหงือกของปลาปลาจะสร้างเซลล์ผิวหนังชั้นนอกเพิ่มขึ้นจนหุ้มปรสิตหมด ทำให้
บริเวณนั้นกลายเป็นจุดขาว ๆ ระคายเคือง ผิวหนังมีอาการคันปรสิตจะขยายพันธุ์เจริญเต็มที่ หลุดออก
จากตัวปลา ว่ายน้ำเป็นอิสระส่วนหนึ่งจะสร้างเกราะหุ้มตัวให้ตัวอ่อน เมื่อสภาพเหมาะสมเกราะก็จะแตก
ออก ตัวอ่อนว่ายเข้าติดตัวปลาต่อไป ถ้าเกาะไม่ได้ตัวอ่อนจะตายภายใน 4 วัน โรคจะลามภายใน 7-8
ชั่วโมงเท่านั้น มักเกิดช่วงหน้าฝน เมื่อปลากระทบน้ำฝนหรือหนาวเย็นจัด ปลาจะมีอาการเซื่องซึม ครีบ
เปื่อย ไม่ค่อยเคลื่อนไหว และว่ายน้ำถูกับข้างบ่อ
การรักษา : ใช้มาลาไคท์กรีน 0.1-0.2 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่ตลอดไป และแช่ซ้ำ 2-3 ครั้ง ห่างกัน
ครั้งละ 5-7 วัน : มาลาไคท์กรีนร่วมกับฟอร์มาลิน อัตรา 4 ซีซี กับ 1 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร

โรคเชื้อรา (Fungus)
อาการ : พบบริเวณผิวหนัง ครีบ บริเวณมีบาดแผล และในไข่ปลาที่ไม่ได้รับการผสมลักษณะเป็นเส้นใยอยู่
เป็นกลุ่ม ปลาที่ได้รับเชื้อ Saprolegnia sp. จะมีปุยขาวคล้ายปุยสำลีเกาะติดตามลำตัวที่ได้รับความ
บอบช้ำหรือมีบาดแผลตามตัว ราจะเข้าเกาะทันทีราเจริญที่อุณหภูมิ 25-28 องศาเซลเซียส และมีวงจร
ชีวิต 1-2 วัน เท่านั้น
การรักษา : แช่ปลาในน้ำที่ผสมเกลือ 3-5 กิโลกรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร นานตลอดไป หรือใช้มาลาไคท์กรีน
0.1-0.2 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร หรือ 2 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร แช่จนกว่าปลาจะหายป่วย ซึ่งอาจต้องแช่ซ้ำ
2-3 ครั้ง
โรคครีบและหางเปื่อย
อาการ : ปลาจะมีอาการเซื่องซึมไม่ค่อยกินอาหารและมักจะว่ายน้ำสั่นกระตุกเป็นพัก ๆ
ครีบและหางจะขาดแหว่งคล้ายถูกกัด บริเวณปลายครีบและหางจะมีสีขาวขุ่นหรือแดง และค่อย ๆ
ลุกลามไปเรื่อย ๆ จนครีบและหางของปลาหดหายไป ซึ่งจะทำให้ปลาตายในที่สุด โรคนี้เกิดจากปลา
ได้รับเชื้อโปรโตซัว และมีการติดเชื้อแบคทีเรียรวมด้วย
การรักษา : แช่ปลาป่วยด้วยฟอร์มาลิน 25 - 45 ซีซี/ น้ำ 1,000 ลิตร แช่ปลานาน 2 วัน
: ใช้ยาปฏิชีวนะจำพวกไนโตรฟูราโซน ในอัตราส่วน 1-2 กรัม ต่อน้ำ 1,000ลิตรแช่ปลานาน 2-3 วัน

โรคเหงือกอักเสบหรือเหงือกเน่า (Gill rot)
อาการ : เหงือกปลาจะบวมแดง เกิดการเน่าและแหว่งหายไป (ภาพที่ 48) ปลาหายใจถี่
ผิดปกติ และขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำเสมอ ๆ หรือว่ายไปอยู่ที่ท่อออกซิเจน
การรักษา : ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยขึ้น และให้ออกซิเจน หรือใช้ด่างทับทิม 3-4 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร
แช่ตลอดไป
โรคเวลเว็ทหรือโอโอดิเนียม (Velvet disease หรือ Oodinium disease)
อาการ : เป็นโรคที่เกิดจากปรสิต (Oodinium sp.) มีสีน้ำตาลคล้ายสนิมเกาะตามลำตัว
เหงือก (ภาพที่ 49) ถ้ามีเป็นจำนวนมากจะทำให้ปลาว่ายน้ำทุรนทุราย เนื่องจากหายใจไม่ออก
การรักษา : แช่ปลาในน้ำเกลืออัตราส่วน เกลือ 1 กิโลกรัมในน้ำ 100 ลิตร แช่จนปลาเริ่มว่ายน้ำ
กระสับกระส่ายจึงจับปลาออก และอาจต้องทำซ้ำอีก 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะ 2-3 วัน
โรคท้องบวม (Abdominal dropsy)
อาการ : เป็นโรคที่ส่วนใหญ่เกิดจากแบคทีเรีย ปลาจะมีอาการเซื่องซึม ไม่เคลื่อนไหว
อออยู่ใต้ผิวน้ำหรือจมก้นบ่อ ปลาไม่ค่อยกินอาหารในแบบเฉียบพลัน ส่วนท้องจะบวมมาก (ภาพที่ 50)
มีน้ำสีแดงออกมาจากช่องท้อง และอาจเกิดเกล็ดตั้งขึ้น ส่วนแบบเรื้อรัง ผิวหนังของปลาจะเป็นรอยช้ำ
ตกเลือด
การรักษา : แช่ปลาในยาปฏิชีวนะออกซี่เตตร้าซัยคลิน หรือเตตร้าซัยคลิน ในอัตราส่วน 10-20 มิลลิกรัม
ต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 2-3 วัน จึงถ่ายน้ำใหม่แล้วแช่ยาซ้ำอีก
: ไม่ควรเลี้ยงปลาในปริมาณที่แน่นจนเกินไปและควรให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสม
การเกิดฟองอากาศ (Gas bubble disease)
อาการ : ส่วนมากจะเกิดกับลูกปลาที่เลี้ยงในบ่อที่มีแสงแดดจัด และมีสาหร่ายในน้ำ
ปริมาณสูง (สังเกตจากน้ำในบ่อจะมีสีเขียวมาก) ซึ่งสาหร่ายจะทำให้เกิดการสังเคราะห์แสง และเกิด
ก๊าซออกซิเจนมากเกินไป ส่วนในตอนเย็นออกซิเจนลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ปลาปรับตัวไม่ทัน เห็น
เป็นฟองอากาศในตัวปลาโดยเฉพาะลูกปลา
การรักษา : ควรจะหาที่บังแดด โดยใช้ตาข่ายบังแสงให้มีแสงผ่านได้ 40-60%
โรคเสียการทรงตัว (Swim bladder disease)
อาการ : ปลาจะว่ายน้ำหมุนควงตีลังกา เสียการทรงตัว ตกเลือดตามตัวและซอกเกล็ด จะ
เกิดกับปลาตั้งแต่วัยอ่อนถึงตัวเต็มวัย ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติของถุงลมระบบแลกเปลี่ยนก๊าซผิดปกติ
สาเหตุการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด
การรักษา : ไม่พบวิธีการรักษาที่ได้ผล ส่วนมากถ้าพบปลาป่วย จะนำปลาไปเลี้ยงในที่แคบ ๆ เพิ่มอุณหภูมิ
และความเค็ม โรคเสียการทรงตัวบางครั้งไม่ได้ขึ้นกับกระเพาะลมอย่างเดียวอาจเกิดจากการทำงานของ
ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ทำให้เกิดก๊าซมาก

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556



       


 ลักษณะเด่นของปลาทองพันธุ์ริวกิ้น และ ปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้ว

ลักษณะ ริวกิ้น เกล็ดแก้วหน้าหนู เกล็ดแก้วหัววุ้น เกล็ดแก้วหัวมงกุฏ
หัว - หัวสั้น ปากแหลม ไม่มีวุ้น - ปากแหลม หน้าสั้น ไม่มีวุ้น - มีวุ้น - มีวุ้นเป็นก้อนกลมเดี่ยว
เกล็ด -
- เกล็ดพองโตขนาดสม่ำเสมอ - เกล็ดพองโต เรียงไล่ขนาดเป็นระเบียบ เกล็ดบริเวณกลางลำตัวขนาดใหญ่กว่าส่วนหัว ส่วนท้าย หลัง และท้อง - เกล็ดพองโต เรียงไล่ขนาดเป็นระเบียบ เกล็ดบริเวณกลางลำตัวขนาดใหญ่กว่า ส่วนหัว ส่วนท้าย หลังและท้อง
ลำตัว - มองจากด้านข้างลำตัวค่อนข้างกว้าง ส่วนท้องอ้วนกลม มองจากด้านหน้าโหนกหลังสูงเท่ากันส่วนโค้งของคอและท้อง เกล็ดเรียงเป็นระเบียบ เป็นเงาสดใส - มองจากด้านบนลำตัว กลมสั้น หัวท้ายแหลม ท้องอูมเป่ง หลังตรง ท้องอูมเป่ง หลังตรง ท้องอูมเป่ง
ครีบหลัง - ครีบหลังสูง ตั้งตรงทั้งขณะว่ายน้ำและหยุดนิ่ง - ตั้งตรง - ตั้งตรง - ตั้งตรง
ครีบ หาง - ครีบหาง 3 แฉก หรือ 4 แฉก ไม่สั้นจนเกินไป หางไม่พับ - หางยาวปานกลาง ครีบหางมี 3 หรือ 4 แฉก ไม่พับ - หางสั้น ครีบหางมี 3 หรือ 4 แฉก ไม่พับ - หางสั้น ครีบหางมี 3 หรือ 4 แฉก ไม่พับ
สี - สีเข้ม ขาว-แดง ส้ม ห้าสี (ฟ้า แดง ดำ ขาว ส้ม) สีสมดุลย์ทั้ง 2 ข้าง - มีทุกสี - มีทุกสี - มีทุกสี
ครีบทวาร - ครีบคู่หรือครีบเดี่ยวที่เกิดโดยธรรมชาติ      
รูปทรงและการทรงตัว - ซ้ายและขวาเสมอกัน ว่ายน้ำทรงตัวดี - ซ้ายและขวาเสมอกัน
- การทรงตัวดี - ซ้ายและขวาเสมอกัน
- การทรงตัวดื - ซ้ายและขวาเสมอกัน
-  การทรงตัวดี
ครีบอื่นๆ - ครีบคู่เสมอกัน ไม่พับ - ครีบคู่ยาวเสมอกัน ไม่พับ - ครีบคู่ยาวเสมอกัน ไม่พับ - ครีบคู่ยาวเสมอกัน ไม่พับ



 ลักษณะเด่นของปลาทองพันธุ์ออรันดา

ลักษณะ ออรันดาหัววุ้น ออรันดาหัวแดง ออรันดาห้าสี ออรันดาหางพวง
หัว - วุ้นมาก มองจากด้านบนเห็นเป็นก้อนกลมหรือเหลี่ยม วุ้นใสสีสด - วุ้นเป็นก้อนกลมสีแดง เหมือนสวมหมวกสีแดง วุ้นบริเวณข้างแก้มและใต้คางไม่มีหรือมีบ้างเล็กน้อย - วุ้นมาก ขนาดสม่ำเสมอ - วุ้นน้อย หรือ ไม่มีวุ้น
ลำตัว - มองจากด้านข้างลำตัวแบนกว้างและไม่สั้นจนเกินไป - มองจากด้านข้างลำตัวแบนกว้างและไม่สั้นจนเกินไป
- เกล็ดเรียงเป็นระเบียบ สม่ำเสมอ เป็นเงาสดใส - มองจากด้านข้างลำตัวแบนกว้าง ไม่สั้นจนเกินไป
- เกล็ดเรียงเป็นระเบียบ สม่ำเสมอ เป็นเงาสดใส - ลำตัวค่อนข้างยาว
ครีบ หาง - ครีบหางค่อนข้างหนา แผ่กว้าง ไม่สั้นจนเกินไป - ครีบหางค่อนข้างหนา แผ่กว้าง ไม่สั้นจนเกินไป - ครีบหางค่อนข้างหนา แผ่กว้าง ไม่สั้นจนเกินไป - หางยาวเป็นพวง
สี - สีเข้มสดใส มีทุกสี - ลำตัวสีขาวเงิน วุ้นบนหัวสีแดงเข้ม - มีครบทั้ง 5 สี (ฟ้า ดำ แดง ขาว ส้ม) สีกระจายสม่ำเสมอ - มีทุกสี
ครีบ หลัง - ครีบหลังตั้ง ไม่พับทั้งขณะว่ายน้ำและหยุดนิ่ง -ครีบหลังตั้ง ไม่พับทั้งขณะว่ายน้ำและหยุดนิ่ง -ครีบหลังตั้ง ไม่พับทั้งขณะว่ายน้ำและหยุดนิ่ง - ตรีบหลังพลิ้วยาว
ครีบทวาร - ครีบคู่หรือครีบเดี่ยวโดยธรรมชาติ  - ครีบคู่หรือครีบเดี่ยวโดยธรรมชาติ  - ครีบคู่หรือครีบเดี่ยวโดยธรรมชาติ  - ครีบคู่หรือครีบเดี่ยวโดยธรรมชาติ  
รูปทรงและการทรงตัว - สามารถว่ายน้ำทรงตัวได้ดี - สามารถว่ายน้ำทรงตัวได้ดี - สามารถว่ายน้ำทรงตัวได้ดี - สามารถว่ายน้ำทรงตัวได้ดี
ครีบอื่นๆ - ครีบคู่เสมอกัน ไม่พับ - ครีบคู่เสมอกัน ไม่พับ - ครีบคู่เสมอกัน ไม่พับ - ครีบคู่เสมอกัน ไม่พับ



 ลักษณะของปลาทองพันธุ์หัวสิงห์

ลักษณะ หัวสิงห์ญี่ปุ่น หังสิงห์จีน หัวสิงห์สยาม หัวสิงห์ลูกผสม หัวสิงห์ตากลับ หัวสิงห์ตาลูกโป่ง
หัวและนัยน์ตา - วุ้นเนื้อละเอียด ไม่แตก วุ้นบริเวณมุมปากมีลักษณะคล้ายเขี้ยว
- มีวุ้นครบทั้ง 3 ส่วน คือส่วนบนของหัว กระพุ้งแก้มและบริเวณเหนือริมฝีปาก
- วุ้นไม่ปิดตาจนมิด ตาสดใส  - หัววุ้นมีขนาดใหญ่กว่าลำตัว ลักษณะวุ้นเป็นเม็ดเล็กหรือใหญ่ขนาดสม่ำเสมอ
- วุ้นไม่ปิดตาจนมิด ตาสดใส - วุ้นมีทั้งแบบสิงห์จีน และสิงห์ญี่ปุ่น ลักษณะวุ้นเป็นเม็ดคล้ายสิงห์จีนแต่แน่นกว่า หรือวุ้นเป็นหลืบคล้ายมันสมอง
- วุ้นต้องปิดตาจนมิด - ลักษณะวุ้นเป็นเม็ดคล้ายสิงห์จีนแต่แน่นกว่า หรือวุ้นเป็นหลืบคล้ายมันสมอง
- วุ้นไม่ปิดตาจนมิด ตาสดใส - หัวไม่มีวุ้น หรือมีเคลือบวุ้นเล็กน้อย
- ตาใหญ่ สดใส ตาทั้งสองข้างเสมอกัน และหงายแหงนมองฟ้าเสมอ - หัวไม่มีวุ้นหรือเคลือบวุ้นเล็กน้อย
- มีถุงน้ำใต้ตาคล้ายลูกโป่ง ถุงน้ำโปร่งแสง
- ตาและถุงน้ำใต้ตาทั้งสองข้างเสมอกัน

ลำตัว - ไม่มีครีบหลัง หลังโค้งมนรูปไข่ไก่
- ลำตัวขนาดใหญ่ หนา มองจากด้านบน ลำตัวไม่คดงอ
-เกล็ดเป็นเงางาม เรียงเป็นระเบียบ - ไม่มีครีบหลัง หลังตรงหรือลาดโค้งเล็กน้อย
- ลำตัวค่อนข้างกลม หนา ไม่คดงอ
- เกล็ดเป็นเงางาม เรียงเป็นระเบียบ - ไม่มีครีบหลัง หลังโค้งมนรูปไข่ไก่
- ลำตัวขนาดใหญ่ หนา มองจากด้านบนลำตัวไม่คดงอ
- เกล็ดเป็นเงางาม เรียงเป็นระเบียบ - ไม่มีครีบหลัง หลังโค้งมนรูปไข่ไก่
- ลำตัวขนาดใหญ่ หนา มองจากด้านบนลำตัวไม่คดงอ
- เกล็ดเป็นเงางาม เรียงเป็นระเบียบ - ไม่มีครีบหลัง ลำตัวยาว หลังตรงหรือโค้งลาดเล็กน้อย
- เกล็ดเป็นเงางาม เรียงเป็นระเบียบ - ลำตัวยาว หลังตรงหรือโค้งลาดเล็กน้อย
เกล็ดเป็นเงางาม เรียงเป็นระเบียบ
ครีบหาง - ครีบหางสั้น ตั้ง ต่อกับลำตัว เป็นมุมแหลมประมาณ 45 องศา
- ครีบหางหนา อาจมี 3 หรือ 4 แฉก
- ครีบหางแผ่กว้าง - ครีบหางใหญ่
- หางลาด ปลายหางเสมอ แนวเดียวกับสันหลัง - ครีบหางสั้น ตั้ง ต่อกับลำตัวเป็นมุมแหลมประมาณ 45 องศา
- ครีบหางหนาอาจมี 3 หรือ 4 แฉก -  ครีบหางสั้น ตั้ง ต่อกับลำตัวเป็นมุมแหลมประมาณ 45 องศา
- ครีบหางหนาอาจมี 3 หรือ 4 แฉก - ครีบหางยาว
- หางลาด ปลายหางเสมอแนวเดียวกับสันหลัง หรือสูงกว่า - ครีบหางยาว
- หางลาด ปลายหางเสมอแนวเดียวกับสันหลัง หรือสูงกว่า
สี - สีเข้มสดใส
- มีทุกสี - สีเข้มสดใส
- มีทุกสี - สีดำปลอด - สีเข้มสดใส
- มีทุกสี - สีเข้มสดใส
- มีทุกสี - สีเข้มสดใส
- มีทุกสี
รูปทรงและการทรงตัว - ซ้ายและขวาเสมอกัน
- การทรงตัวดี
- มองจากด้านบนเหมือน รูปเหรียญโคบัน (Koban) - ซ้ายและขวาเสมอกัน
- การทรงตัวดี
- มองด้านบนสันหลังตรง - ซ้ายและขวาเสมอกัน
- การทรงตัวดี - ซ้ายและขวาเสมอกัน
- การทรงตัวดี - ซ้ายและขวาเสมอกัน
- การทรงตัวดี - ซ้ายและขวาเสมอกัน
- การทรงตัวดี
ครีบทวาร - ครีบคู่ หรือ ครีบเดี่ยวที่เกิดโดยธรรมชาติ - ครีบคู่ หรือ ครีบเดี่ยวที่เกิดโดยธรรมชาติ - ครีบคู่ หรือ ครีบเดี่ยวที่เกิดโดยธรรมชาติ - ครีบคู่ หรือ ครีบเดี่ยวที่เกิดโดยธรรมชาติ - ครีบคู่ หรือ ครีบเดี่ยวที่เกิดโดยธรรมชาติ - ครีบคู่ หรือ ครีบเดี่ยวที่เกิดโดยธรรมชาติ
ครีบอื่นๆ - ครีบคู่เสมอกันทั้งซ้ายและขวา - ครีบคู่เสมอกันทั้งซ้ายและขวา - ครีบคู่เสมอกันทั้งซ้ายและขวา - ครีบคู่เสมอกันทั้งซ้ายและขวา - ครีบคู่เสมอกันทั้งซ้ายและขวา - ครีบคู่เสมอกันทั้งซ้ายและขวา

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556


การเลือกซื้อปลาทอง


มีส่วนหัว ลำตัว และหางที่สมส่วนกัน เวลาว่ายน้ำส่วนหัวไม่ทิ่มลงพื้นหรือว่ายหงายท้อง
สีสันสดใส เกล็ดเรียงเป็นระเบียบสวยงาม
สุขภาพดี ดูได้จากการว่ายน้ำไปมาตามธรรมชาติ ไม่ปล่อยตัวลอยไปตามน้ำหรือลอยคอผิวน้ำเกือบตลอดเวลา
สำหรับปลาหัวสิงห์ หลังของปลาจะต้องโค้งสวย ไม่มีปุ่มบนหลังหรือหลังปลาบุ๋มลงไป
ครีบและหางของปลาไม่พันงอหรือขาด ครีบมีลักษณะเท่ากัน เวลาว่ายน้ำ ครีบเบ่งบานสวยงาม ไม่ลู่

ประวัติปลาทอง



ทางประวัติศาสตร์เชื่อได้ว่าการเพาะพันธุ์ปลาทองมีมานานกว่าหนึ่งพันปีแล้ว หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึง คือ รูปวาดปลาทองซึ่งมีเกล็ดสีแดงที่ลำตัวจำนวนมากกำลังว่ายน้ำอยู่ในบ่อ อายุรูปภาพกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ปลาทองเป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ ไซไพร์นิดี้ (Family Cyprinidae) จัดเป็นปลาวงศ์ที่ใหญ่ที่สุด โดยมีปลาอยู่เกือบ 2,000 ชนิด ซึ่งปลาในวงศ์นี้มีปลาที่เราพอรู้จักคือ ปลาทอง ปลาไน และปลาตะเพียน จากการศึกษาพบว่า ปลาเงินปลาทองเป็นปลาซึ่งเกิดจากการผ่าเหล่ามาจากปลาไน (Crucian carp) ปลาเงินปลาทองมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Carassius auratus linn. ประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ปลาทองได้สำเร็จคือ ประเทศจีน แต่ประเทศที่พัฒนาพันธุ์ปลาทองให้มีสีและลวดลายสวยงามคือประเทศญี่ปุ่น และเพียงเวลาไม่นานนัก ญี่ปุ่นก็ครองความเป็นจ้าวในการส่งออกปลาทองไปขายต่างประเทศ ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้พันธุ์ปลาทองเป็นที่แพร่หลายและเป็นที่นิยมในหมู่นักเลี้ยงปลาในที่สุด

ปลา ทองพันธุ์สามัญ (Common fish) เป็นปลาต้นสายพันธุ์ ลำตัวค่อนข้างยาวและแบนด้านข้าง หัวสั้นกว้างและไม่มีเกล็ด เป็นปลาที่อดทน กินอาหารง่ายและลูกดก สีสันคล้ายปลาไนมาก ในประเทศไทย สัณนิฐานได้ว่ามีผู้นำปลาเงินปลาทองเข้ามาเลี้ยงครั้งแรกในสมัยกรุง ศรีอยุธยาตอนกลาง โดยนำเข้ามาจากประเทศจีนเนื่องจากมีการค้าติดต่อกันในช่วงนั้น ทางประวัติศาสตร์เชื่อได้ว่าการเพาะพันธุ์ปลาทองมีมานานกว่าหนึ่งพันปีแล้ว หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึง คือ รูปวาดปลาทองซึ่งมีเกล็ดสีแดงที่ลำตัวจำนวนมากกำลังว่ายน้ำอยู่ในบ่อ อายุรูปภาพกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ปลาทองเป็นปลาที่อยู่ในวงศ์ ไซไพร์นิดี้ (Family Cyprinidae) จัดเป็นปลาวงศ์ที่ใหญ่ที่สุด โดยมีปลาอยู่เกือบ 2,000 ชนิด ซึ่งปลาในวงศ์นี้มีปลาที่เราพอรู้จักคือ ปลาทอง ปลาไน และปลาตะเพียน

จาก การศึกษาพบว่า ปลาเงินปลาทองเป็นปลาซึ่งเกิดจากการผ่าเหล่ามาจากปลาไน (Crucian carp) ปลาเงินปลาทองมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Carassius auratus linn. ประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ปลาทองได้สำเร็จคือ ประเทศจีน แต่ประเทศที่พัฒนาพันธุ์ปลาทองให้มีสีและลวดลายสวยงามคือประเทศญี่ปุ่น และเพียงเวลาไม่นานนัก ญี่ปุ่นก็ครองความเป็นจ้าวในการส่งออกปลาทองไปขายต่างประเทศ ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้พันธุ์ปลาทองเป็นที่แพร่หลายและเป็นที่นิยมในหมู่นักเลี้ยงปลาในที่สุด ปลาทองพันธุ์สามัญ (Common fish) เป็นปลาต้นสายพันธุ์ ลำตัวค่อนข้างยาวและแบนด้านข้าง หัวสั้นกว้างและไม่มีเกล็ด เป็นปลาที่อดทน กินอาหารง่ายและลูกดก สีสันคล้ายปลาไนมาก ในประเทศไทย สัณนิฐานได้ว่ามีผู้นำปลาเงินปลาทองเข้ามาเลี้ยงครั้งแรกในสมัยกรุง ศรีอยุธยาตอนกลาง โดยนำเข้ามาจากประเทศจีนเนื่องจากมีการค้าติดต่อกันในช่วงนั้น